บทความนี้จะพาทุกท่านมารู้จักกับแบตเตอรี่แหลว หรือ Liquid Metal Battery ซึ่งเป็นนวตกรรมที่คาดว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการแบตเตอรี่กันเลยทีเดียว เพราะแบตเตอรี่เหลวนี้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเทียม และยังมีความทนทานสูง อายุการใช้งานยาวนาน ซึ่งล่าสุดได้การรับรองความปลอดภัยจาก UL Solutions ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการและคำปรึกษาเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพต่างๆ มีบทบาทที่สำคัญในการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย และตรวจสอบกระบวนการผลิตที่สอดคล้องกับมาตรฐาน และแบตเตอรี่เหลวของทาง Ambri ก็กำลังจะมีการนำมาทดลองใช้กันในปีหน้านี้แล้ว

สำหรับแบตเตอรี่เหลว ได้รับการพัฒนาโดยบริษัทที่มีชื่อว่า Ambri เป็นบริษัทที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2010 โดยมีกลุ่มนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ MIT เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น และพัฒนาเทคโนโลยี Liquid Metal Battery มาตลอด

Liquid Metal Battery (แบตเตอรี่เหลวโลหะ) เป็นเทคโนโลยีเก็บพลังงานที่นำโดยแรงเคลื่อนที่ของโลหะเหลวที่ต่างกัน เทคโนโลยีนี้เป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมพลังงานและเก็บพลังงานที่มีการพัฒนาขึ้นเพื่อให้มีความยืดหยุ่นและความประสิทธิภาพในการจัดเก็บพลังงานมากขึ้น โดยแบตเตอรี่เหลวประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 ชั้นสำคัญคือ

  1. ชั้นโลหะบน (Cathode): เป็นชั้นที่สัมผัสกับอีกสองชั้น โดยจะเป็นโลหะหนาตัวที่สามารถรับและปล่อยอิเลกตรอนไฟฟ้าได้ เช่น แคลเซียม-โซเดียม (Calcium-Sodium) หรือโลหะอื่นที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม
  2. ชั้นอิเลคโทรไลท์ (Electrolyte): เป็นสารชนิดเหลวที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางสำหรับการไหลของอิเลกตรอนไฟฟ้าระหว่างชั้นโลหะบนและชั้นโลหะล่าง ชั้นนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยให้เป็นไปได้ในการทำงานได้ดี
  3. ชั้นโลหะล่าง (Anode): เป็นชั้นสุดท้ายที่สัมผัสกับชั้นอิเลคโทรไลท์ มีคุณสมบัติในการรับและปล่อยอิเลกตรอนไฟฟ้าเช่นเดียวกับชั้นโลหะบน โลหะที่ใช้ในชั้นนี้อาจเป็นอลูมิเนียม (Aluminum) หรือโลหะอื่นที่เหมาะสม

แบตเตอรี่เหลวที่ทาง Ambri พัฒนาขึ้นนั้นมีข้อดีในเรื่องของการปรับเปลี่ยนขนาดที่มีความยืนหยุ่นสูง ทำให้ปรับแต่งขนาดได้ตามความต้องการในการใช้พลังงานในรูปแบบต่างๆ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บพลังงานที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ ได้สะดวก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่า 20 ปี และยังมีระดับของการจัดเก็บแบตเตอรี่ได้ในระดับ 95% โดยไม่จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษาใดๆ เป็นพิเศษ ซึ่งด้วยข้อดีต่างๆ เหล่านี้ ทำให้แบตเตอรี่เหลวที่พัฒนาโดย Ambri เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการนำมาใช้กับรถยนต์ EV หรือการใช้สำหรับเก็บพลังงานไฟฟ้าได้หลากหลายรูปแบบ โดยมีต้นทุนที่ต่ำ มีความยืนหยุ่นในเรื่องของการปรับเปลี่ยนขนาด และที่สำคัญอายุการใช้งานที่ยาวนานอีกด้วย

Ambri ยังได้มีการร่วมมือกับทาง Xcel Energy เพื่อจะทดสอบการใช้งานแบตเตอรี่เหลวนี้อีกด้วย โดยจะทดสอบแบตเตอรี่เหลวขนาด 300 KWh ที่รัฐโคโลราโด ซึ่งจะมีการทดสอบใช้งานเป็นระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งการทดสอบนี้ก็จะทำร่วมกับแพลตฟอร์ม GridNXT Microgrid

หากการทดสอบครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี คาดว่าแบตเตอรี่เหลวจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในวงการรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์ที่ต้องใช้แบตเตอรี่อื่นๆ มากมาย ซึ่งจะส่งผลดีในแง่ของต้นทุนที่ลดลง อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ยาวนานมากขึ้น และราคาของรถยนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ จะมีราคาที่ไม่สูงจนเกินไปนั่น เนื่องจากผู้ผลิตสามารถควบคุมต้นทุนของแบตเตอรี่ให้มีราคาถูกลงนั่นเอง

ข้อมูลเพิ่มเติม https://ambri.com

หลังจากที่ค่าไฟแพง กระแสของการติดโซลาร์เซลล์ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะหลายคนมุ่งหวังที่จะลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าลงในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันนี้มีผู้ให้บริการติดตั้งโซลาร์เซลล์เกิดขึ้นมากมาย และที่สำคัญที่สุด ราคาค่าอุปกรณ์และค่าติดตั้งถูกลงกว่าเดิมมาก และอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีความทันสมัยมากขึ้น สามารถดูสถานะต่างๆ ของระบบได้ผ่านมือถือกันเลยทีเดียว รวมถึงมีการคำนวณความคุ้มค่าในการใช้งานให้ทราบอีกด้วย และหากบ้านไหนติดตั้งโซลาร์เซลล์แล้ว มีไฟเหลือ ก็ยังสามารถขายคืนให้กับการไฟฟ้าได้อีกด้วย 

ก่อนจะไปถึงเรื่องของความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการติดโซลาร์เซลล์ เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่า การติดตั้งโซลาร์เซลล์นั้นมีข้อดีอะไรบ้าง

  1. รักษ์โลก ช่วยในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จากการปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดนั่นเอง
  2. ลดค่าใช้จ่ายส่วนของค่าไฟฟ้าได้ค่อนข้างมาก ตั้งแต่เริ่มใช้งาน
  3. ช่วยลดความร้อนจากหลังคาให้กับบ้านได้ประมาณ 10 องศาเซลเซียส
  4. ช่วยเรื่องของมลพิษ เพราะจะเป็นการลดการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดมลพิษในอากาศ
  5. การติดตั้งโซลาร์เซลล์เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า สามารถคืนทุนได้ในเวลาไม่กี่ปีเท่านั้น

สำหรับข้อดีของการติดตั้งโซลาร์เซลล์ก็จะมีประมาณนี้ ซึ่งแน่นอนว่า การติดโซลาร์เซลล์ก็จะมีเรื่องที่เข้าใจผิดๆ กันด้วย บางเรื่องก็มีการเล่าต่อๆ กันมา บางเรื่องก็มีการนำเสนอผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ จากผู้ที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของโซลาร์เซลล์ ซึ่งวันนี้ก็จะมาสรุปให้ฟังกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง 

1. ในช่วงหน้าฝน แผงโซลาร์เซลล์จะไม่สามารถใช้งานได้

เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นความเข้าใจผิดที่ได้ยินบ่อยมาก จริงๆ แล้วเรายังสามารถใช้งานโซลาร์เซลล์ได้ต่อเมื่อยังมีแสง เนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์จะผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ความเข้มของแสง ซึ่งในช่วงหน้าฝนสิ่งที่ควรระวังก็จะเป็นเรื่องของฟ้าผ่า ที่อาจจะทำให้อุปกรณ์เสียหายได้ แนะนำว่าควรจะใช้ Inverter ที่มีระบบป้องกันฟ้าผ่า หรืออาจจะติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันฟ้าผ่าภายนอกเพิ่มเติม

2. ติดโซลาร์เซลล์ ต้องใช้เงินลงทุนสูง ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

ในปัจจุบันราคาการติดโซลลาร์เซลล์เริ่มถูกลงแล้ว และเราไม่จำเป็นต้องลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ในครั้งเดียว แต่สามารถติดต่อสถาบันการเงินเพื่อขอสินเชื่อสำหรับติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้ ซึ่งจะเป็นการผ่อนชำระต่อเดือนในอัตราที่ไม่สูงจนเกินไป และเรายังสามารถนำเงินก้อนที่มีไปหาประโยชน์จากการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ แทนได้อีกด้วย

3. ติดโซลาร์เซลล์แล้วจะทำให้เกิดปัญหาความร้อนกับบ้าน หรืออาคาร รวมถึงผลกระทบกับหลังคาบ้าน

จริงๆ แล้ว การติดตั้่งแผงโซลาร์เซลล์ไว้บนหลังคาบ้าน หรืออาคาร ช่วยลดความร้อนให้กับบ้านได้อีกด้วย เป็นเพราะแผงโซลาร์เซลล์จะรับแสงแดดโดยตรงแทนหลังคาบ้านนั่นเอง ส่วนปัญหาเรื่องหลังคาบ้านจะพัง หรือส่งผลกระทบอื่นๆ อันนี้บอกเลยว่า ก่อนจะติดตั้งจะมีการประเมินหลังคาก่อนแล้วว่ามีความเหมาะสมในการติดตั้งหรือไม่ ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อหลังคาในระยะยาว

4. แผงโซลาร์เซลล์มีอายุสั้น ใช้ไปสักพักก็ต้องเปลี่ยน

ตามสเปคของแผงโซลาร์เซลล์นั้น ระบุเอาไว้ว่า สามารถใช้งานได้นานหลายปี บางรุ่นใช้นานได้ถึง 25 ปีแบบเต็มประสิทธิภาพ หลังจากนั้นก็จะมีประสิทธิภาพลดลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้อยู่ ซึ่งเรื่องนี้อยู่ที่การดูแลบำรุงรักษาด้วย ตามคำแนะนำของผู้ให้บริการติดตั้่ง แจ้งเอาไว้ว่าควรจะมีการตรวจสอบแผง และทำความสะอาดกันทุกๆ ปี ซึ่งผู้ให้บริการติดตั้งหลายเจ้าก็จะมีแถมบริการนี้ให้ฟรี ในปีแรกด้วย

Photo : freepik

หลายคนยังไม่ทราบว่า มีแอพสั่งอาหารแปลกๆ อยู่ด้วย ซึ่งไม่ได้เพิ่งมีนะ แต่มีมาตั้งแต่ปี 2020 แล้ว ซึ่งแอพนี้มีชื่อว่า Yindii อ่านว่ายินดี ก็ได้ เป็นแอพสั่งอาหารที่ขายไม่หมด ซึ่งช่วยลดขยะจากอาหารได้ เพราะไม่ต้องทิ้ง และคนสั่งยังได้ราคาที่ถูกกว่าปกติอีกด้วย และแน่นอนว่าการช่วยลดขยะจากอาหาร ก็ช่วยลดโลกร้อนได้เช่นกัน

แอพ Yindii มีผู้ร่วมก่อตั้งคือ ชวิน อัศวเสตกุล และ Louis-Alban Batard-Dupre ในขณะนี้ก็เรียกได้ว่ามีร้านที่เข้าร่วมกับทางแอพเยอะกว่าตอนเปิดตัวใหม่ๆ มากมาย และมีโรงแรมชั้นนำ มีแบรนด์อาหารใหญ่ๆ เข้าร่วมแล้ว ซึ่งใครที่อยากจะลองสั่งอาหารจากโรงแรมมาทานก็สั่งจากแอพนี้ได้เลย เท่าที่เข้าไปค้นหาดู พบว่ามีหลายคนสั่งอาหารเช้าจากโรงแรมมาทานเป็นอาหารเที่ยงด้วย ซึ่งปกติทางโรงแรมมักจะเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แขก เมื่ออาหารที่ทำไว้เกิน ก็นำมาจำหน่ายผ่านแอพ Yindii ได้เลย

แนะนำว่าใครจะสั่งก็สามารถดูรีวิวจากคนที่เคยสั่งไว้ก่อนได้เลย จะได้ทราบว่าสั่งแล้วจะได้อาหารหน้าตาแบบไหน มีปริมาณเท่าไหร่ นอกจากนี้บางร้านเวลาสั่งจะไม่สามารถกำหนดอาหารได้ด้วย คล้ายๆ กล่องสุ่มเลยก็ว่าได้ในแอพเขาจะใช้ชื่อว่า กล่องเซอร์ไรส์ อะไรที่ขายไม่หมดเขาก็จะใส่มาให้ในกล่องเลย ส่วนใหญ่จะเป็นร้านที่ขายเบเกอรี่ ขนม ที่จะเป็นกล่องอาหารแบบสุ่มในแบบนี้ และถ้าใครจะสั่งแนะนำว่าให้รีบสั่งตั้งแต่ตอนเช้าเลยนะครับ จะได้รับอาหารในวันนั้นเลย ส่วนใครที่พลาดไม่ทัน ก็สามารถสั่งในช่วงเย็น หรือดึกๆ ได้จะเป็นการพรีออเดอร์สำหรับวันรุ่งขึ้น

ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่พบในแอพนี้ก็จะเป็นเรื่องของราคาอาหารในบางร้านที่ค่อนข้างสูง แนะนำให้ดูราคาให้ดีก่อนสั่งนะครับ ที่ราคาค่อนข้างสูงส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรม หรือร้านอาหารที่มีการจำหน่ายอาหารที่มีราคาสูงอยู่แล้ว เมื่อลดราคาแล้วราคาก็ยังไม่ถูกมากนัก อันนี้แล้วแต่งบประมาณที่แต่ละท่านจ่ายได้นะครับ อีกส่วนหนึ่งจะเป็นค่าจัดส่ง ที่แนะนำให้ดูร้านที่อยู่ใกล้บ้านหน่อย ไม่งั้นค่าส่งจะค่อนข้างสูงพอสมควรครับ

นอกจากนี้ในแอพยังมีส่วนของการบริจาคอาหารด้วย เราสามารถกดสั่งเพื่อให้อาหารถูกส่งไปบริจาคได้อีกด้วย ใครชอบทำบุญก็ไปกดสั่งในแอพได้

สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วสนใจ ก็สามารถไปดาวน์โหลดแอพได้เลย ไม่ว่าจะเป็นใน iOS หรือ Andriod ค้นหาด้วยคำว่า Yindii ได้เลย ดาวน์โหลดมาแล้วก็ทำการติดตั้งให้เรียบร้อย จากนั้นก็จัดการลงทะเบียนผู้ใช้งานตามปกติ และยืนยันหมายเลขมือถือให้เรียบร้อย โดยจะมี OTP ส่งไปให้กรอก ก็เรียบร้อยครับ

วิธีการสั่งอาหารก็จะเหมือนแอพสั่งของ สั่งอาหารปกติทั่วๆ ไปเลย ก็คือ เลือกร้านที่ต้องการก่อน จะกดจากหน้าแอพที่เจอโดยตรง หรือจะค้นหาก็ได้ เมื่อพบร้าน หรืออาหารที่ต้องการสั่งแล้ว ก็ให้ดูว่าเป็นแบบสั่งได้เลย หรือว่าพรีออเดอร์นะครับ กดสั่งได้เลย บางร้านเราต้องรอให้ร้านยืนยันก่อนนะครับ ถึงจะชำระเงิน บางร้านก็สั่งแล้วชำระเงินได้เลย ซึ่งขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ก็จะแสดงบนหน้าแอพอยู่แล้ว ใครที่ไม่ถนัดในการสั่งอาหารผ่านแอพ แนะนำให้ค่อยๆ ดูคำแนะนำให้หน้าจอ แล้วกดไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นตอนการชำระเงินได้เลยครับ

เปิดคาเฟ่ก็ช่วยรักษ์โลกได้ วันนี้จะพาทุกท่านมารู้จักกับคาเฟ่ที่มีชื่อว่า Infinite Cafe Power by Banpu NEXT คาเฟ่รักษ์โลก ซึ่งเป็นคาเฟ่ที่ใช้พลังงานสะอาดแบบ 100% แห่งแรกของไทย ตั้งอยู่ที่ สวนเบญจกิติ กรุงเทพมหานคร สำหรับคาเฟ่ Infinite Cafe Power by Banpu NEXT เป็นความร่วมมือระหว่าง บ้านปู เน็กซ์ ผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานสะอาด กับ Roots แบรนด์ร้านกาแฟสัญชาติไทย ซึ่งเป็นคาเฟ่แบบป๊อปอัพ ใครที่เป็นสายคาเฟ่อยู่แล้ว แนะนำให้แวะไปลองกัน ส่วนใครที่ประกอบธุรกิจคาเฟ่ แล้วอยากรักษ์โลกบ้างก็แนะนำให้ไปชมเช่นกัน จะได้ไอเดียกลับมาปรับปรุงคาเฟ่ที่เราเปิดอยู่ได้ ซึ่งจะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ โดยเฉพาะการนำพลังงานสะอาดมาใช้ รวมถึงการใส่ใจสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้นอีกด้วย

ที่มาของ คาเฟ่ Infinite Cafe Power by Banpu NEXT

สำหรับคาเฟ่แห่งนี้เป็นโปรเจกต์พิเศษที่ต้องการนำเสนอ SMART BUSINESS ด้วยการนำโซลูชั่นพลังงานสะอาดแบบครบวงจรมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม โดยชูจุดเด่นเรื่องของการใช้พลังงานสะอาดแบบครบวงจร ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการประกอบการ มีการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการตั้งแต่การปลูกเมล็ดกาแฟ จนถึง การจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคาเฟ่นี้จะช่วลดการปล่อยคาร์บอนได้สูงสุด 750 กรัม มีการใช้เมล็ดกาแฟที่ปลูกภายในประเทศ ส่วนนมก็จะใช้นมข้าวโอ๊ตเนื่องจากนมที่ผลิตจากสัตว์นั้นมีการปล่อยคาร์บอนสูง สำหรับแก้วก็จะเป็นแก้ว Plant Fiber วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมต่อการย่อยสลายและนำไปรีไซเคิล ส่วนการใช้ไฟฟ้าภายในคาเฟ่ ก็จะใช้พลังงานสะอาดกับอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างภายในร้าน

สำหรับการดีไซน์ร้านได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจาก Brand Identity ของบ้านปู เน็กซ์ ที่เป็นรูปกล่องพลังงานสะอาด หรือ “Smart Magic Box” มีขนาด 4 X 4 X 4 เมตร เป็นต้นแบบ Smart Café เพื่อให้ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจได้เห็นถึงศักยภาพและประโยชน์ของการใช้พลังงานสะอาดที่มีต่อธุรกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และผู้ใช้บริการ

สำหรับโซลูชั่นที่นำมาในร้านจะมีด้วยกัน 4 อย่าง

  1. Smart Energy ระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยระบบโซลาร์รูฟท็อฟขนาด 19 kW มีการเก็บกักพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ขนาด 69 kW โดยไม่พึ่งพาระบบไฟฟ้าหลัก หรือแหล่งพลังงานอื่นๆ เลย และสามารถจ่ายไฟให้กับการใช้งานภายในร้านได้นาน 9 ชั่วโมง
  2. Smart Mobility เป็นการบริการให้กับผู้ที่ต้องการเดินทางมาคาเฟ่ผ่านรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า โดยสามารถเรียกผ่านแอพ MUVMI ได้เลย
  3. Smart Waste Management ระบบการจัดการขยะที่มีการคัดแยก กำจัด รีไซเคิล มีการติดตามผล และมีการบันทึกยอดการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซค์
  4. Smart Operation & Digital Platform ระบบจอแดชบอร์ดสำหรับการแสดงการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ และยอดการลดคาร์บอนไดออกไซค์ จากการใช้พลังงานสะอาดและเครื่องดื่มที่มีการจำหน่ายในร้าน

เมล็ดกาเฟ ก็รักษ์โลกเช่นกัน

สำหรับเมล็ดกาแฟที่ใช้ภายในร้านก็มาจาก Roots แบรนด์ร้านกาแฟสัญชาติไทย ก่อตั้งโดยกลุ่มคนรักกาแฟ และยึดแนวคิดการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน “Cup to Farm” โดยแบ่งส่วนหนึ่งของรายได้ไปพัฒนาคุณภาพของกาแฟไทย ทำงานร่วมกับคนต้นน้ำอย่างเกษตรกรและนักแปรรูปกาแฟไทย ตั้งแต่การเพาะต้นกล้าจนถึงขั้นตอนการแปรรูปสารกาแฟ ก่อนส่งตรงมายังโรงคั่วของ Roots โดยเมล็ดกาแฟผ่านกระบวนการปลูกที่สนับสนุนความเป็นท้องถิ่น ด้วยโรงงาน Zero Waste Factory ซึ่งปฏิบัติตามแนวคิดลดขยะเป็นศูนย์ บำบัดน้ำให้สะอาดเพื่อใช้หมุนเวียนและใช้พลังงานต่ำในการผลิตกาแฟ ผลิตด้วยความพิถีพิถันและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูกจนกลายเป็นเครื่องดื่ม โดยมีการปลูกกาแฟแบบออร์แกนิค เน้นเติบโตตามธรรมชาติ ใช้กาแฟภายในประเทศแทนการใช้กาแฟนำเข้า เพื่อลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการขนส่งเมล็ดกาแฟ

สำหรับคาเฟ่ Infinite Cafe Power by Banpu NEXT เป็นความร่วมมือระหว่าง บ้านปู เน็กซ์ ผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานสะอาด กับ Roots แบรนด์ร้านกาแฟสัญชาติไทย ซึ่งเป็นคาเฟ่แบบป๊อปอัพ จะเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2566 ถึง 24 กันยายน 2566 เท่านั้น ตั้งแต่เวลา 07.00 น. – 13.00 น. เท่านั้น ใครสนใจก็รีบไปก่อนจะปิดกันนะ ใครที่พกแก้วไปเองมีส่วนลดให้ด้วย 10 บาท และใครที่เป็นลูกค้าที่ซื้อครั้งแรก ก็สามารถแอดไลน์ของร้าน แล้วรับสิทธิ์ซื้อ 1 แถม 1 ได้ทันที

ใครที่แวะไปเที่ยวหรือออกกำลังกายที่ สวนเบญจกิติ ก็อย่าลืมแวะไปกันนะ ได้ทั้งสุขภาพ และรักษ์โลกไปด้วยกันเลย

ข้อมูลจาก Facebook Banpu Next

ปรากฏการณ์ เอลนีโญ (El Nino) เริ่มต้นกันแล้วตั้งแต่ช่วงเดือน มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าจะขึ้นในระยะเวลายาวนานกว่า 15 เดือน ซึ่งความรุนแรงที่ประเมินกันไว้อยู่ในระดับสูง ถึงสูงมาก ซึ่งประเทศไทยในขณะนี้ได้มีการบริหารงานน้ำโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยแล้ว กรรมการสมาคมนักอุทกวิทยาไทย ได้วิเคราะห์จากข้อมูลเอลนีโญ 72 ปี ความยาวนานที่เคยเกิดขึ้นจะไม่เกิน 19 เดือน และเมื่อเปรียบเทียบปรากฏการณ์เอลนีโญ กับวิเคราะห์ปริมาณฝนทั้งระดับประเทศ และรายภาค พบว่า ปี 2565 ตั้งแต่เดือน มี.ค.-มิ.ย.2565 ปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าค่าปกติแต่น้อยกว่าเดิมไม่มาก และปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้น ในเดือนส.ค.-ต.ค. ซึ่งในช่วงนั้นบางปี อย่างปีที่ผ่านมาฝนมากกว่าค่าปกติ

เอลนีโญ

เอลนีโญ (El Nino) คืออะไร?

เอลนีโญ (El Nino) คือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแบบหนึ่ง ที่เกิดจากกระแสลมมีกำลังอ่อนและเปลี่ยนทิศทาง โดยมีการพัดจากทางด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก ไปยังทางด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งจะทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลไปยังทวีปอเมริกาใต้แทน ปรากฏการณ์เอลนีโญจะส่งผลทำให้พื้นที่บริเวณทวีปเอเชียและทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนียประสบกับสภาวะแห้งแล้งขึ้น ในขณะที่ทวีปอเมริกาใต้จะเกิดฝนตกชุก หรืออธิบายง่ายๆ ได้ว่า ถ้าประเทศไทยเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญขึ้น ประเทศไทยก็จะเกิดปัญหาความแห้งแล้ง หรือประสบปัญหาภัยแล้งนั่นเอง

ลักษณะของเอลนีโญ นั้นสามารถสรุปได้ดังนี้

  • การอุ่นขึ้นผิดปกติของผิวน้ำทะเล
  • กระแสน้ำอุ่นที่ไหลลงทางใต้ตามชายฝั่งประเทศเปรู
  • เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่สูงขึ้นทางด้านตะวันออก และตอนกลางของแปซิฟิกเขตศูนย์สูตร
  • ปรากฏตามชายฝั่งประเทศเอกวาดอร์ และเปรูเหนือ (บางครั้งประเทศชิลี)
  • เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของความกดอากาศที่ระดับน้ำทะเล
  • เกิดร่วมกับการอ่อนกำลังลงของลมค้าที่พัดไปทางทิศตะวันตกบริเวณแปซิฟิกเขตศูนย์สูตร
  • เวียนเกิดซ้ำแต่ช่วงเวลาไม่สม่ำเสมอ
  • เกิดแต่ละครั้งนาน 15 – 19 เดือน

เอลนีโญ 2566 เกิดขึ้นนานแค่ไหน?

จากข้อมูลที่มีการเผยแพร่ออกมาเกี่ยวกับปรากฏการณ์เอลนีโญ พบว่าจะมีระยะเวลานาน 15 – 19 เดือน สำหรับในประเทศไทยมีการประกาศเอาไว้ว่าเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมานี้แล้ว และคาดว่าจะเกิดขึ้นแบบชัดเจนในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งทางหน่วยงานศูนย์ภูมิภาคอากาศสหรัฐอเมริกา ได้มีการคาดหมายเอาไว้ว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญในรอบนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมีนาคม 2567 และจะมีระดับความรุนแรงมากในช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน 2566 นี้ และค่อยๆ ลดความรุนแรงลงในช่วงต้นเดือนปีหน้าในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 และเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงเดือนมีนาคม 2567

ขนาดของเอลนีโญ ก็จะแบ่งเป็นได้ 3 ระดับด้วยกัน

ขนาดรุนแรงมาก– ปริมาณฝนสูงมากที่สุด มีน้ำท่วม และเกิดความเสียหายในประเทศเปรู มีบางเดือนในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงของซีกโลกใต้ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณชายฝั่งสูงกว่าปกติมากกว่า 7oซ.

ขนาดรุนแรง – ปริมาณฝนสูงมาก มีน้ำท่วมตามบริเวณชายฝั่ง มีรายงานความเสียหายในประเทศเปรู มีหลายเดือนในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงของซีกโลกใต้ที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณชายฝั่งสูงกว่าปกติ 3 – 5 oซ.

ขนาดปานกลาง – ปริมาณฝนสูงกว่าปกติ มีน้ำท่วมตามบริเวณชายฝั่ง ความเสียหายที่เกิดขึ้นในประเทศเปรูอยู่ในระดับต่ำ โดยทั่ว ๆ ไปอุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณชายฝั่งในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงในซีกโลกใต้จะสูงกว่าปกติ 2 – 3 oซ.

ผลกระทบ และแผนการรองรับในไทย

ผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ จะเกิดขึ้นกับภาคเกษตรมากที่สุด เพราะมีการใช้น้ำมากที่สุด โดยในภาคเกษตรนั้นมีการใช้น้ำสูงถึง 40 – 60 % ของปริมาณการใช้น้ำในประเทศ ซึ่งในประเทศไทยเรามีการจัดการบริหารเรื่องน้ำแยกออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ น้ำบนฟ้า จะเป็นหน้าที่ของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งจะมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสร้างแบบจำลองที่มีความแม่นยำสูงและเป็นที่ยอมรับ อีกส่วนหนึ่งจะเป็นน้ำบนดิน จะเป็นหน้าที่ของทางกรมชลประทาน ซึ่งก็ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาจัดการเช่นกัน โดยจะเครื่องตรวจวัด มีการคำนวณการแปลงน้ำบนฟ้ามาเป็นน้ำบนดินออกมาเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ และจะต้องมีการปล่อยน้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตรมากน้อยขนาดไหน โดยมีการประเมินโดยใช้เทคโนโลยีเอไอ ควบคุมการปล่อยน้ำในเขื่อน เพื่อปรับปริมาณการปล่อยน้ำที่จะเข้าสู่พื้นที่การเกษตรในระดับที่เหมาะสม อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทางภาครัฐก็ได้มีการจัดการบริหารเรื่องน้ำมาโดยตลอด เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคเกษตรซึ่งใช้น้ำมากที่สุดในประเทศไทย

นอกจากนี้ยังมีการเรื่องของการสร้างคลองเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ให้ได้ตลอดปีอีกด้วย รวมถึงในภาคเกษตรก็จะมีคำแนะนำเรื่องของการปลูกพืชแบบใหม่ที่มีการใช้น้ำน้อยให้กับทางเกษตรกรอีกด้วย เพื่อช่วยลดผลกระทบจากภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้

อย่างไรก็ตามการจัดการบริหารน้ำนั้นก็จะสามารถช่วยทางภาคเกษตรได้ดีในเฉพาะบริเวณที่ใกล้แหล่งชลประทานเป็นส่วนใหญ่ ส่วนภาคเกษตรที่อยู่ห่างไกลจากแหล่งชลประทานก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนการปลูกพืชที่ใช้น้ำมาก ไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยแทน และในอนาคตอาจจะมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะมาเปลี่ยนน้ำเค็มจากทะเลมาเป็นน้ำจืดเพื่อนำมาใช้ในภาคเกษตรเพิ่มเติม แต่ในตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงของการศึกษาหาข้อมูลเท่านั้น และยังไม่ได้มีการเปิดโครงการอย่างเป็นทางการสำหรับภาคเกษตรแต่อย่างใด

คำแนะนำในช่วงนี้ก็ให้ประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรให้ติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากทางภาครัฐ ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ก็จะมีการเผยแพร่ข้อมูลให้ทราบอยู่ตลอด พร้อมคำแนะนำต่างๆ ส่วนประชาชนทั่วไป ตอนนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ที่ชัดเจน โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีระบบการจัดการแหล่งน้ำที่ดีอยู่แล้ว ส่วนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ก็สามารถเตรียมการด้วยตัวเองได้ เช่น หาที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ด้วยตัวเอง โดยเมื่อฝนตกก็สามารถกักเก็บน้ำได้เองทันที โดยให้ประเมินการใช้น้ำของตัวเอง และกักเก็บตามความเหมาะสม

อ้างอิงข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา